ชื่อแหล่งเรียนรู้ ผ้าทอมือ
ที่ตั้ง 91 หมู่ 2 ตำบลเชียงกลาง อ.เชียงกลาง จ.น่าน
ความเป็นมา / ความสำคัญ
ผ้าทอมือ ทอโดยใช้ฝ้ายย้อมสีธรรมชาติ
เช่น สีดำจากผลมะเกลือ สีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากขมิ้น และสีน้ำตาลได้จากเปลือกต้นสนเป็นต้น
ลวดลายที่ทอส่วนใหญ่เป็นผ้าทอลายน้ำไหล
ที่มีสีสันและลวดลายที่งดงาม
เป็นผ้าที่ทอด้วยเทคนิค
ที่ทำให้เกิดลวดลายโดยใช้ด้ายเส้นพุ่งธรรมดาหลายสีพุ่งย้อนกลับไปมาเป็นช่วงๆ ทอด้วยเทคนิคขัดสาน
แต่มีการเกาะเกี่ยวและผูกเป็นห่วงรอบด้ายเส้นยืนเพื่อยึดเส้นพุ่งแต่ละช่วงไว้ เรียกเทคนิคนี้ว่า " ล้วง "
การทอแบบนี้ทำให้เกิดลายที่มีลักษณะคล้ายสายน้ำไหล จึงเรียกว่า "ผ้าลายน้ำไหล"
ซึ่งเป็นการทอด้วยเทคนิคแบบล้วง
โดยใช้ฝ้ายสีต่างๆ สอดขึ้นสอดลงให้ไหลไปในทางเดียวกัน ไล่ระดับไปเรื่อย ๆ
ดูคล้ายการไหล ของสายน้ำ ผ้าลายน้ำไหลเป็นลายที่ทอกันในยุคหลังประมาณ
80-100 ปี โดยพัฒนามาจากลายผ้าของชาวลื้อ
ปัจจุบันมีการพัฒนาลายน้ำ ไหลเป็นรูปแบบ ต่าง ๆ เช่น
ลายจรวด ลายน้ำไหลสายรุ้ง ลายปู เป็นต้นและนอกจากนี้ ยังมีลวดลายอื่นๆ เช่น ลายขัด เป็นลายผ้าพื้นธรรมดา
ตกแต่งลวดลายด้วยการสลับสี , ลายแซง
คือลายทางยาวที่แทรกด้วยยืนสีแดงหรือสีดำเป็นระยะ ๆ
ชื่อแหล่งเรียนรู้ พระธาตุศรีบัวแบ่งเทพมงคล
ที่ตั้ง หมู่ 1
ตำบลเชียงกลาง
อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน
ความสำคัญ / ความเป็นมา
แรกเริ่มเมื่อ
พ.ศ. 2411 เจ้าเทพวงศ์
จิตรวงศ์นันท์ พร้อมด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้านและประชาชนตำบลเชียงกลาง ได้เดินทางไปยังแขวงอำเภอปัว จังหวัดน่าน
เพื่อไปขอแบ่งพระธาตุจากคณะศรัทธา
(ราษฎร) วัดปรางค์ อำเภอปัว
ซึ่งกำลังจะทำพิธีบรรจุพระธาตุอยู่คณะกรรมการผู้ดำเนินการก่อสร้างพระธาตุจึงได้แบ่งพระธาตุให้เจ้าเทพวงศ์จำนวน 8 องค์และได้นำมาบรรจุ องค์พระธาตุไว้ที่วัดคาว ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งคาว อยู่ทางทิศตะวันตกของหมู่บ้านกุ่มและหมู่บ้าน ผาล้อม
วัดคาวนี้เป็นวัดที่เก่าแก่มากที่สุดของตำบลเชียงกลาง
ด้วยความร่วมร่วมใจกันของพุทธศาสนิกชนในตำบลเชียงกลาง ได้สร้างเจดีย์แบบลังกา ขนาดฐานกว้าง
12 เมตร สูง 16
เมตร มีกำแพงล้อมรอบ ดำเนินการก่อสร้างอยู่ 2 ปี
จึงแล้วเสร็จ ตั้งชื่อว่า “พระธาตุศรีบัวแบ่งเทพมงคล” คือได้รับแบ่งมาจากวัดปรางค์ อำเภอปัว
จังหวัดน่าน
แต่ประชาชนโดยทั่วไปมักเรียกว่าพระธาตุวัดคาว
องค์ความรู้ของแหล่งเรียนรู้
1. ประวัติความเป็นมาของพระธาตุศรีบัวแบ่งเทพมงคล ที่เป็นปูชนียสถานที่สำคัญเป็นพระธาตุเก่าแก่ทรงระฆังคว่ำที่สูงเด่นเป็นสง่าสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ ของชาวเชียงกลาง
2. ประวัติความเป็นมาของวัดบ้านเจดีย์
ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งขององค์พระธาตุศรีบัวแบ่ง- เทพมงคล
กิจกรรม / การให้บริการ
1. ให้บริการศึกษาเรียนรู้ความเป็นมาของพระธาตุศรีบัวแบ่งเทพมงคล
ซึ่งเป็นเป็นปูชนียสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งของอำเภอเชียงกลาง
ที่นักท่องเที่ยวเข้าเยี่ยมชมและกราบไหว้
2. เป็นสถานที่จัดกิจกรรมสำคัญทางพุทธศาสนา
ประเพณีท้องถิ่น เช่น ประเพณีทำบุญตักบาตร , เวียนเทียน , ประเพณีนมัสการพระธาตุศรีบัวแบ่งเทพมงคล และเมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 5 ของทุกปี จะมีการสรงน้ำพระธาตุ มีขบวนแห่น้ำอบ น้ำหอมของพุทธศาสนิกชนในตำบลเชียงกลาง เพื่อสรงน้ำพระธาตุ บางปีมีการจัดงานที่ยิ่งใหญ่ มีการแสดงและการละเล่นต่างๆ มีดนตรี
มีซอพื้นเมือง ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเพณีของชาวตำบลเชียงกลาง
ข้อมูลโดย นางสุรภี
การะเกษ ครูกศน.ตำบลเชียงกลาง
อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน
ชื่อแหล่งเรียนรู้ ศาลเจ้าพ่อพญาไมย
ที่ตั้ง หมู่ 13 ตำบลเชียงกลาง อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน
ความสำคัญ / ความเป็นมา
ศาลเจ้าพ่อพญาไมย
หรือที่ชาวบ้านมักเรียกกันว่า เจ้าพ่อดงฆ้องหรือผีดงฆ้อง
เดิมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของถนนซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำกอนที่ต้นประดู่หรือชาวบ้านเรียกกันว่า
บวกหวายหรือบวกฆ้อง
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านสบกอนและชาวอำเภอเชียงกลางยึดเหนี่ยวผูกพันมาช้านาน
ความเชื่อ
1.ก่อนฤดูการทำนาทุกปี
ชาวบ้านจะทำพิธีบวงสรวงให้เจ้าพ่อช่วยดูแลไร่นา เริ่มตั้งแต่การไถ การหว่านต้นกล้า
การดำนา ตลอดจนการเก็บเกี่ยวผลผลิต จนเสร็จสิ้นที่อย่าง หลังการทำพิธีสู่ขวัญ
ชาวบ้านจะทำพิธีเลี้ยงเจ้าพ่อโดยกระทำกันในวันที่
3 ธันวาคม ของทุกปี
2. การทำพิธีบวงสรวงทุกครั้ง ต้องให้อาจารย์ผู้บวงสรวง (
ข้าวจ้ำ ) เป็นผู้นำกล่าวบวงสรวงบูชา ผู้ใดที่ต้องการทำพิธีดังกล่าว จะต้องนำดอกไม้
ธูปเทียน และสิ่งบูชาจากชาวบ้าน ดอกไม้ที่ใช้ควรเป็นสีขาว
และเงินค่ายกครูตามศรัทธา หรือบริจาคเพื่อบูรณปฏิสังขรณ์ศาลเจ้าพ่อตามกำลังศรัทธา เมื่อมีเทศกาลงานบุญต่างๆ เช่น
งานฉลองวิหาร อุโบสถ งานบวชนาค ฯลฯ
ต้องนำผ้าอุ้ม
หรือผ้าไตรไปขอพร และความคุ้มครองในการจัดงาน เมื่อเสร็จงานต้องทำพิธีเซ่นบวงสรวง
( แก้บน ) ตามความเหมาะสม
3. ด้านกำลังใจ สำหรับผู้ที่ต้องการกำลังใจ เช่น
การสอบ สมัครงาน การเดินทางไกล ตลอดจนการเจ็บป่วย การค้าขาย ต้องนำดอกไม้ ธูปเทียน
พร้อมเขียนชื่อ นามสกุล จุดประสงค์ และรายละเอียดต่างๆ ให้ชัดเจน
โดยนิยมเขียนไว้หลังรูปภาพของ
ผู้บวงสรวง เมื่อประสบผลสำเร็จแล้ว ควรกลับมาทำพิธีเซ่นบวงสรวง
แก้บน เพื่อความสบายใจ และเพื่อความเป็นสิริมงคล
องค์ความรู้ของแหล่งเรียนรู้
1.
ขั้นตอนพิธีเซ่นบวงสรวง ( แก้บน ) เจ้าพ่อพญาไมย
ทุกวัน หยุดเฉพาะวันพระ
2. พิธีบวงสรวงเจ้าพ่อพญาไมย ประจำปี จะทำทุกวันที่ 3 ธันวาคมของทุกปี ในงานจะมีการจัดขบวนแห่เครื่องเซ่นไหว้ และการฟ้อนรำเพื่อถวายเจ้าพ่อพญาไมย
3. บ่อน้ำทิพย์เจ้าพ่อพญาไมย เป็นบ่อน้ำใสสะอาดให้ชาวอำเภอเชียงกลางและอำเภอใกล้เคียง
ได้ดื่มกิน และใช้ โดยมีน้ำไหลตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีหมด และถือเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์
ใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
4. เขตอนุรักษ์พันธ์ปลา แม่น้ำกอนบริเวณนี้จะเป็นเขตอนุรักษ์พันธ์ปลา
มีสวนสาธารณเป็นจุดพักผ่อนสำหรับนักเดินทาง
5. อ่างเก็บน้ำห้วยติ้ว ด้านทิศตะวันออกศาลเจ้าพ่อพญาไมย
ประมาณ 30 เมตร
จะมีอ่างเก็บน้ำห้วยติ้วเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาและมีภูมิทัศน์ที่สวยงามเหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ
กิจกรรม
/ การให้บริการ
1. พิธีเซ่น บวงสรวง แก้บน เจ้าพ่อพญาไมย
2. ศึกษาและเรียนรู้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น การอนุรักษ์แหล่งน้ำ ,
การอนุรักษ์พันธุ์ปลา
3. เป็นแหล่งท่องเที่ยวและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ
ข้อมูลโดย นางสุรภี
การะเกษ ครูกศน.ตำบลเชียงกลาง
อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน
ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตำบลเชียงกลาง
ประเภทภูมิปัญญา อาหาร
ชื่อภูมิปัญญา ข้าวควบ
ความเป็นมา / ความสำคัญของภูมิปัญญา
“ ข้าวควบ ” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ข้าวเกรียบใส่น้ำตาลอ้อย มีรสหวานอย่างข้าวเกรียบว่าว” ข้าวควบ เป็นอาหารว่างที่นิยมรับประทานกันมาก ลักษณะคล้ายขนมทองม้วน รสหวานกรอบ แต่พองและแผ่นใหญ่กว่า
ส่วนประกอบ / เครื่องปรุง
1. ข้าวเหนียว 2 ลิตร
2. น้ำอ้อย 300 กรัม
3. น้ำตาลปิ๊ป 500 กรัม
4.ใบตอง
5. ไข่ 3 ฟอง
6. ไม้กลม
7. น้ำมัน
8. น้ำ
อุปกรณ์
ครกมอง (ครกกระเดื่อง) ไม้กลมนวดแป้ง หญ้าคาที่เป็นตับ ไม้ไผ่มือเสือ ตะกร้าสานใบใหญ่ แผ่นไม้กระดานนวดแป้ง
วิธีทำ
1. นำข้าวเหนียวแช่น้ำ ไว้ประมาณ 6 – 10 ชั่วโมง แล้วนำมานึ่งให้สุก
2.นำไปตำในมอง (ครกกระเดื่อง) ให้เมล็ดข้าวแตกละเอียด จนมีลักษณะเหมือนแป้งขนมเทียนสุก
3. ผสมไข่ น้ำอ้อย น้ำตาลปิ๊บ ลงตำในครก ระหว่างที่ตำแป้งให้ใช้มือคนในครกแป้ง และผสมน้ำลงไปพอประมาณ เพื่อให้แป้งเหนียว จนได้ที่แล้วปั้นเป็นก้อน ๆ ขนานเท่าลูกมะนาว
4. ใช้น้ำมันหมูทาแผ่นไม้กระดาน หรือใบตอง ( อาจใช้พลาสติกแทนได้ )ใช้ไม้กลมคลึงก้อนแป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6 - 8 นิ้ว ใช้ไข่ขาวทาแผ่นแป้งทั้ง 2 หน้า
5. นำวางบนหญ้าคาที่เตรียมไว้ ตากแดดหรือลมให้แห้ง ประมาณ 2 – 3 ชั่วโมง ในระหว่างที่ตากแผ่นแป้งให้พลิกเพื่อกลับด้าน แล้วเก็บเรียงซ้อนกัน
6. นำไปผิงไฟโดยวางลงบนไม้ไผ่มือเสือ ใช้ไฟอ่อน ๆ ข้าวควบจะพองขยายใหญ่ ผิงไฟให้เหลือง นำใส่ในตะกร้าไม้ไผ่สานที่เตรียมไว้ ควรรองด้วยผ้าพลาสติกแผ่นใหญ่คลุมกันถูกลม หรืออาจนำไปทอดกับน้ำมันร้อน เพื่อนำมารับประทาน หรือเป็นของว่าง
ประโยชน์ของภูมิปัญญา
ข้าวควบ ยังมีอยู่ในวิถีชีวิตของชาวอำเภอเชียงกลาง เป็นอาหารว่างที่มีราคาไม่แพง และปลอดจากสารพิษ เกิดจากภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งยังเป็นการสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ชุมชน
แหล่งข้อมูลภูมิปัญญา
นางกิ่งแก้ว เทพอินทร์ อายุ 65 ปี
บ้านเลขที่ 64 หมู่ 2 บ้านเชียงโคม ตำบลเชียงกลาง อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน 55160
นางลอย อุ่นใจ อายุ 64 ปี
บ้านเลขที่ 75 หมู่ 2 บ้านเชียงโคม ตำบลเชียงกลาง อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน 55160
ข้อมูลโดย นางสุรภี การะเกษ ครูกศน.ตำบลเชียงกลาง
อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น